ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า แต่คิดว่าถ้ามัวแต่กลัวจะโดนวิจารณ์คงทำประโยชน์ให้ใครไม่ได้มากนัก
ท่ามกลางอาชีพทั้งหลายที่ทำอยู่ ล่ามทางกฎหมาย (ในศาล เจรจาสัญญา ไกล่เกลี่ย ให้ปากคำ ฯลฯ) เป็นอาชีพหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าผมจะทำเงินได้มากนัก เพราะไม่ได้จบทางภาษามาโดยตรง จบทั้งตรีและโทแบบ Made in Thailand พูดภาษาอังกฤษแบบไม่ใช่เจ้าของสำเนียง แถมคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
แต่มันกลับกลายเป็นเส้นทางหนึ่งที่ให้รายได้เสริมแบบ Active Income ที่ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยการเริ่มลองทำแบบไม่มีอีโก้อะไร ไม่สนใจว่าจะได้ค่าตัวเท่าไหร่
จนมาถึงตอนนี้ รับงานอยู่ที่ค่าตัวหลักหมื่นต่อนัด แถมลูกค้าที่เคยเห็นผลงานจะไม่ต่อราคาเลยซักคำเดียว แล้ววันนี้สดๆ ร้อนๆ ก็แฮปปี้สุดๆ ที่ลูกค้า (ที่เป็น Law Firm) ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก และกรุณาให้เครดิตอีกว่าถ้าไม่ได้เรา การไกล่เกลี่ยคงไม่จบและงบประมาณคงบานปลายไปอีกโขแน่ๆ ซ้ำยังมีคิวจองตัวกันจนถึงกลางปีอีกด้วย 💸
ผมไม่ได้ร่ำรวยแบบเจ้าสัว และไม่ใช่ล่ามทางกฎหมายที่ค่าตัวแพงที่สุด หลายคนที่อายุน้อยกว่ามีค่าตัวต่อวันสูงกว่าผมมากนัก แต่ถ้าเทียบกับล่ามศาลโดยเฉลี่ยที่คิดค่าตัววันละ 5,000 ค่าตัวผมก็จัดได้ว่าไม่ถูกเลยทีเดียวครับ
ด้วยประการฉะนี้ จึงคิดว่าพอจะมี Keys of Success บางประการที่จะแบ่งปันให้เป็นประโยชน์กับลูกศิษย์หรือรุ่นน้องได้บ้างในโพสต์นี้ครับ
1. Work to learn, not to earn
เราต้องอยู่ต้องกินก็จริง แต่ในระยะเริ่มต้นถ้ามัวแต่ตีราคาตัวเองเพื่อหาจุดคุ้มทุน คุณจะพลาดโอกาสเรียนรู้ อย่าลืมว่าชั่วโมงบิน knowhow และ connection คือบันไดชั้นเลิศสู่ความสำเร็จทางการเงินเลยทีเดียว
การจะทำงานเพื่อเรียนรู้ได้สำคัญคือต้องถอดทุกหัวโขนที่มีอยู่ออกไป แล้วทำตัวเป็นฟองน้ำโดยตั้งคำถามว่าถ้าฉันจะเป็นมืออาชีพแบบติดท็อปในสายงานนี้ฉันต้องเพิ่มเติมอะไร ใครเป็น idol ในด้านใดให้ฉันก็อปปี้ได้
ขออวดหน่อยว่าผมเป็นคนถอดหัวโขนเก่งมาก เรียกว่าเป็นมาตั้งแต่เด็กเลยก็ได้ครับ ตอนเรียนปี 4 หารายได้พิเศษโดยการถ่ายรูปรับปริญญา เป็นช่างภาพที่ขับเบนซ์เข้าไปจอดใน RBSC ค่าตัวแค่วันละ 1,500 แต่ก็อ่อนน้อมแบบยกมือไหว้ได้ทุกคนตั้งแต่ลูกค้าที่เดินลงมาจากรถเมล์ รปภ. คนขายฟิล์ม ช่างอัดภาพ ทำยังไงก็ได้ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้คอนเนคชั่นที่จะทำให้งานเราสู้คนอื่นได้ ถึงแม้ตอนนี้จะเลิกหางานถ่ายภาพแล้วแต่ก็ยังมีลูกค้าเก่าเรียกใช้งานอยู่ทุกปีทีเดียวเชียวนะเออ
2. Don't cut price, do over deliver
ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ทำธุรกิจมาทำให้เข้าใจว่าสงครามราคาไม่ให้ผลดีกับใคร ถ้าเราเข้าไปร่วมสงครามก็มีแต่จะหั่นกันไปเรื่อยๆ จนตายหมด เหลือเพียงคนที่สายป่านยาวสุดลูกหูลูกตา ในทางกลับกันหันมาตั้งคำถามที่ถูกต้องดีกว่าว่าทำไมลูกค้าจึงต้องซื้อจากเรา ทำยังไงเค้าถึงจะรู้สึกว่าเงินทุกบาทที่เค้าจ่ายไปทำให้เค้าได้อะไรกลับมาเกินกว่านั้นมากมายนัก
ยกตัวอย่างล่ามในการไกล่เกลี่ย แน่นอนว่างานหลักคือแปลให้ถูกต้อง แต่การวางตัวแบบมืออาชีพและการแสดงพลังบวกที่ดีอย่างถูกกาลเทศะแก่คู่ความทั้งสองฝั่งอาจมีผลช่วยเหลือโดยอ้อมให้อะไรๆ ดีขึ้นก็ได้ในหลายๆ สถานการณ์ (บรรยากาศดี คนใช้เหตุผลเข้าหากันมากกว่าใช้อารมณ์ เจรจาจบ ลูกความแฮปปี้ ลูกค้าแฮปปี้) และถ้าผลในภาพใหญ่ออกมาดีขึ้นเพราะเรา add value บางอย่างเข้าไปคนที่มีประสบการณ์เขาจะมองออกเองและของแถมเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายนี่แหละคือความแตกต่างที่ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกโคตรคุ้มค่าที่เลือกเรา
3. Connecting the dots
ชอบทฤษฎีนี้ของ Steve Jobs ที่บอกให้เริ่มต้นกับอะไรบางอย่างแล้วทำมันให้ดี มันจะกลายเป็นจุดที่เชื่อมเราไปสู่อีกจุดหนึ่ง จนสุดท้ายจะพาเราไปสู่อะไรที่สุดยอดแบบไม่คาดคิดได้
ไม่น่าเชื่อว่าจุดที่ส่งเสริมให้เดินตามเส้นทางล่ามมาถึงตรงนี้จะมาจากการทำธุรกิจกับ Joyous ที่สร้างพื้นฐานจนต่อยอดให้เป็นเทรนเนอร์ในค่ายธุรกิจ Go PRO Camp (เปลี่ยนชีวิตที่ 1 องศา) ค่ายเด็ก Brainergy Super Leader Camp และเทรนเนอร์สอนพูดใน Speaker Club
คนที่ไม่เคยไปเรียนด้วยกันอาจจะอ่านแล้วงง ต้องขอโทษด้วยครับ เอาเป็นว่าจากการจัดเทรนนิ่งด้านการสื่อสารและทัศนคติมายาวนานจนหลับตาพูดได้ ส่งผลให้เป็นผู้ฟังที่ดีและสื่อสารได้ชัดเจนด้วยพลังงานบวกแบบ autopilot ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออาชีพที่ต้องพูดเยอะสุดๆ อย่างล่าม
สิ่งที่ลงทุนลงแรงไป ไม่มีอะไรสูญเปล่าจริงๆ ถ้าเราตั้งใจกับมันเราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญซักด้านโดยที่เราไม่รู้ตัว
4. Keep growing to keep glowing
รายได้ = ศักยภาพ
การมีส่วนร่วมในค่ายธุรกิจ Go PRO Camp ทุกเดือน ทำให้ใกล้ชิดกูรูในหลายๆ ด้าน ทั้งการเงิน การตลาด การขาย การทำธุรกิจออนไลน์ การสื่อสาร และความสัมพันธ์
โอกาสเหมือนกับฝนที่ตกลงมา ทั่วฟ้าบ้างไม่ทั่วฟ้าบ้าง คำถามไม่ใช่ว่าเมื่อไหร่ฝนจะตกลงมาโดนเรา แต่ต้องถามว่าถ้าตกลงมาแล้วเรามีผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่ฝังเมล็ดพันธุ์ชั้นดีไว้รองรับแล้วหรือยัง ถ้าคำตอบคือยัง โอกาสจะมีประโยชน์อะไร
การจะได้หุ้นส่วนดีๆ ในธุรกิจก็เช่นกัน แทนที่จะถามว่าเราจะหาหุ้นส่วนดีๆ ได้ที่ไหน จะดีกว่าไหมที่จะถามว่าถ้ามีหุ้นส่วนดีๆ ผ่านเข้ามา เขาจะอยากอยู่กับเราหรือเปล่า แล้วเราต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้คนดีๆ อยากอยู่กับเรา
ณ วันนี้ก็คงมีประมาณนี้
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับที่ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ได้ ❤
ท้ายที่สุดนี้ ผมคงไม่อาจประกาศว่าบทเรียนของผมเป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน จะว่าครบถ้วนสมบูรณ์ก็คงไม่ใช่ แต่ก็เป็นหลักกิโลเมตรหนึ่งที่อยากบันทึกไว้ในชีวิต
ขอให้ทุกคนมีชีวิตแห่งการเติบโตที่งดงามครับ